Choose Language

Showing posts with label National Park. Show all posts
Showing posts with label National Park. Show all posts

Friday, February 6, 2015

บันทึกจากการเดินทาง - เมืองม้าหิว (เราก็หิว)



การเดินทางคนเดียวมันก็ดีอย่าง เสียอย่าง ข้อดีคือ เราจะไปไหน ทำอะไร บ้าบิ่นแค่ไหน ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องคนที่ไปด้วย ส่วนข้อเสียก็คืออย่างเดียวกันนั่นแหละ บางทีทำอะไร บ้าบิ่นไป เมื่อเหนื่อยโฮก แล้วไม่รู้ตัว เฉกเช่นการเดินทางครั้งนี้ เมื่อไปวนอุทยานแห่งชาติเกลเชีย (Glacier National Park) ที่มอนทาน่าเมื่อหลายเดือนก่อน ด้วยความที่วุ่นวาย เตรียมการช้าไป เลยจองที่พักในอุทยานฯ ไม่ทัน ก็เลยได้นอนใกล้ๆ สนามบิน ทางตะวันตกของอุทยานฯ​ — ไอ้ความที่เราไม่มีความคาดหวังอะไร อยู่ตรงไหนมันก็ดีทั้งนั้น ทุกอย่างใหม่ไปหมด เพราะยังไม่เคยไป แต่ข้อขัดข้องนิดหน่อยคือเวลาต้องเดินทาง ก็ต้องเผื่อเวลาเพิ่มไปซัก 45 นาที จากที่ข้อมูลบอก

หลังจากวันที่ไปถึงวันแรกหนึ่งวัน อากาศดีเลิศ — ซึ่งคนที่ถ่ายรูป จะรู้กันว่า น้ำขึ้นให้รีบตัก เพราะ อากาศดี ฟ้าสวยได้ใจนั้น ไม่ได้มีกันง่ายๆ แหม ก็หามรุ่งหามค่ำ ตะบี้ตะบัน หนุกหนาน กับการถ่ายภาพและชื่นชมธรรมชาติอย่างเมามัน วันที่สองได้ใจ อากาศดีอีก ก็อาจหาญ ขับรถไปทางตะวันออก (East Glacier) รอพระอาทิตย์ตก ซึ่งเสียดาย แม้อากาศดี แต่ฟ้าไร้เมฆเอาโดยสิ้นเชิง กว่าจะออกมาปากทางก็มืด และแถมมีหลงทิศนิดโหน่ย ทำให้กว่าจะถึงที่พัก ก็งอมพระราม แต่สิ่งที่ขำจำขึ้นใจอย่างนึงคือว่า ก่อนจะถึงเมืองที่พักที่ Columbia Falls จะต้องผ่านเมืองเล็กๆ น่ารัก ที่ชื่อ ม้าหิว (Hungry Horse) ซึ่งพอผ่านเมืองนี้ ก็จะหิวโซพอดี ทุกที และเมืองนี้ก็เป็นสัญญาณให้ความหวัง ว่าจะถึงที่พักแล้วว้อยยยยย (แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังต้องหิวโซ ต่อไป เพราะเมื่อกลับมาค่ำ อะไรๆ ก็ปิดหมด เรื่องการจะได้กินอาหารร้อนๆ อร่อยๆ ละมุนลิ้น นั้น อย่าได้หวัง ร้านฟาสฟู้ด ก็มีแต่ A&W ที่เมนู กากสุด ขนาดที่ว่ากินง่าย ยังกระเดือกไม่ลง ต้องเสียจรรยาบรรณ กินบะหมี่สำเร็จรูปละว้า อิอิ) กว่าจะเข้านอน ก็พร้อมไก่ขัน (ถ้ามีไก่ให้ขัน)


วันรุ่งขึ้น ลุกไม่ขึ้น ตัดสินใจนอนให้เต็มที่ ชิล แล้วตั้งใจว่าจะต้องไปค้นให้พบว่า เมืองนี้ทำไมต้องชื่อ ม้าหิว ฮ่าๆๆๆๆ แล้วหมายตาไว้ว่าต้องหาจุดที่จะถ่ายรูปเป็นที่ระลึกถึงความรู้สึก “ม้าหิว​​“ นี่ไว้ ก็เลยขับรถไป แวะร้านโชว์ห่วยในเมือง คุยกับลุงเจ้าของร้าน ที่ติดลมจนไม่อยากจะยอมให้เรากลับ แต่ก็ได้ความรู้เยอะแยะ พูดแล้วขอนอกเรื่องก่อนจะไปถึงเรื่องม้าหิว

ร้านโชว์ห่วยสำหรับคนภูเขา ^^


ที่น่าสนใจมากคือ คนที่มอนทาน่า และคนที่ตั้งใจมามอนทาน่านี่ ตกปลากันเป็นสรณะ หรือจะว่าเข้าสายเลือดก็คงไม่ผิด เหยื่อตกปลาที่เค้าเรียกว่า fly ซึ่งสงสัยว่า มันเป็นฟลายที่แปลว่าแมลงวัน หรือเปล่า แต่เดาเอาเองว่าคงใช่ ลืมถาม มีมากมายหลายร้อยชนิด มีทั้งแบบผูกมาแล้วเป็นแพค กับผูกด้วยมือ ขึ้นอยู่กับเวลา สถานที่ และปลาที่จะตกกระมัง (ไม่มีความรู้เอาซะเลย) แล้วเวลาที่คนเค้าเจรจา ถามไถ่กันเรื่องเหยื่อนี่ ลองฟังดู มันคงประมาณเหมือน นักเลงพระเครื่องคุยกันเลยล่ะ เหยื่อไหน เป็นเหยื่อไหน แบบฟังตามไม่รู้เรื่องกันไปข้างนึง แปลกใหม่ น่าสนใจดี

เหยื่อตกปลา มากมายหลากหลายลานตา
กลับมาเรื่องม้าหิว คุณลุงเจ้าของร้าน บอกว่า สมัยแรกๆ ที่มีคนมาตั้งรกรากแถวนี้ เคยมีคนทำม้าหลุดมา หาไม่เจออยู่นานเชียว จนกระทั่งมาเจอแถวๆ นี้ ม้าผอมโซ เลยเรียกบริเวณนี้ว่า Hungry Horse อย่างว่า แล้วเค้าก็มีรูปปั้นประจำเมืองด้วยนะ แต่หาไม่เจอ เจอแต่เจ้าตัวแดงข้างบน น่ารักดี เลยถ่ายมาเป็นที่ระลึก


Thursday, October 11, 2012

Yellowstone 1 - มหัศจรรย์แห่งไฟใต้พิภพ


“Everybody needs beauty as well as bread, places to play in and pray in, where nature may heal and cheer, and give strength to body and soul alike. This natural beauty-hunger is made manifest… in our magnificent national parks – Nature’s sublime wonderlands, the admiration and joy of the world.” – JOHN MUIR – (from The National Parks: America’s Best Idea by Dayton Duncan and Ken Burns)

It’s hard to put my recent visits to the national parks of the West into a coherent and relevant presentation when there are so many intertwining elements to talk about – the landscapes, the wildlife, the vegetation, and the people in their struggle over these breathtaking and awe-inspiring geological and biological wonders – some to exploit, some to possess and some to preserve. So perhaps to start my journey according to the inception of each park makes the most sense; therefore, we are starting with Yellowstone National Park – the first national park in America and in the world. Notwithstanding adamant conservation efforts, the existence of national parks in the U.S. and everywhere in the world is constantly being threatened on a daily basis, so above all sentiments, I feel eternally indebted to those who had made national parks a reality and to those who continue to work hard to make sure that the legacy is passed on to our children and grandchildren.
ไม่รู้จะเริ่มเล่าเรื่องการไปเที่ยววนอุทยานแห่งชาติในแดนตะวันตกตรงไหนดี เพราะทุกอณูของประสบการณ์เต็มไปด้วยสิ่งที่ทำให้ทึ่ง ทำให้คิด เต็มไปด้วยบทเรียน เหมือนห้องสมุดที่เต็มไปด้วยหนังสือน่าอ่านอย่างไม่มีวันจบสิ้น เอาเป็นว่าเริ่มต้นตามลำดับของการก่อตั้งวนอุทยานฯก็แล้วกัน เริ่มที่วนอุทยานแห่งแรกคือเยลโล่สโตน ประวัติการก่อตั้งและการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของวนอุทยานแห่งชาติที่ยาวนานกว่าศตวรรษเต็มไปด้วยอุปสรรค ชัยชนะ ความปราชัย ความสำเร็จ และความผิดพลาด ปะปนกันไป แต่ก็นับได้ว่าสถาบันที่คนอเมริกันมีความภาคภูมิใจในฐานะผู้ริเริ่มนี้ ได้ปกป้องผืนแผ่นดินอันงดงามจำนวนมากมายให้รอดจากการตกเป็นกรรมสิทธิของผู้มีอิทธิพลและผู้มีอันจะกิน และได้รับการรักษาไว้ให้เป็นสมบัติของคนทั้งประเทศและอนุชนรุ่นหลังต่อไป แม้ว่าแนวคิดเรื่องอุทยานแห่งชาติจะได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลก ทุกวันนี้พื้นที่ธรรมชาติ สัตว์ป่า และวนอุทยานแห่งชาติทุกแห่งยังถูกคุกคามอย่างหนักจากภัยรอบด้าน แต่มีคนจำนวนหนึ่งที่ทุ่มเทชีวิตและจิตวิญญาณเพื่อรักษามรดกอันทรงคุณค่านี้อย่างไม่ย่อท้อ จึงอยากจะขอระลึกถึงคนเหล่านั้นด้วยความสำนึกในบุญคุณเป็นอย่างยิ่ง
Yellowstone Fast Facts: - Established in 1872 by President Ulysses S. Grant (even though the concept of national parks originated in 1864 when President Lincoln set aside Yosemite Valley and Mariposa Grove of giant sequoias as a public trust to preserve the land for future generations); - The landscape has been shaped by numerous volcanic eruptions dated back as far as two million years ago; - Yellowstone National Park span across 3,472 square miles (8,987 square km) and three states, i.e. Wyoming, Montana and Idaho; - Yellowstone contains approximately one-half of the world’s hydrothermal features. There are over 10,000 hydrothermal features, including over 300 geysers, in the park - About 30 some per cent of the park was destroyed in the great fire of 1988.
เกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับอุทยานฯ - ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๕ ในสมัยประธานาธิบดียูลิสซิส เอส แกร้นท์ (ถึงแม้ว่าแนวคิดจะเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๐๗ เมื่อประธานาธิบดีลินคอนมีคำสั่งให้รักษาพื้นที่บริเวณหุบเขาโยเซมิติและผืนป่าซีโคย่ายักษ์ที่มาริโพซ่า โดยให้อยู่ในความดูแลของรัฐแคลิฟอร์เนีย) - ภูมิประเทศของเยลโล่สโตนเกิดขึ้นจากภูเขาไฟระเบิดซึ่งเกิดขึ้นหลายครั้ง และย้อนหลังไปถึงสองล้านปี - วนอุทยานแห่งชาติเยลโล่สโตนมีพื้นที่ประมาณ ๘,๙๘๗ ตารางกิโลเมตรและตั้งอยู่ในสามรัฐคือไวโอมิ่ง มอนทาน่า และไอดาโฮ - แหล่งความร้อนใต้พิภพที่เยลโล่สโตนนับเป็นปริมาณครึ่งหนึ่งของที่มีในโลก ที่นี่มีโป่งน้ำร้อนและน้ำพุร้อน กว่า ๑๐,๐๐๐ แห่ง และ ๓๐๐ แห่งตามลำดับ - พื้นที่อุทยานฯกว่าร้อยละ ๓๐ ถูกทำลายไปจากไฟป่าครั้งใหญ่เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๑