บันทึกเดินทางดินแดนตะวันตกของอเมริกา ช่วงฤดูร้อนปี 2011 - 17 วัน 3,500 ไมล์
ไม่ชอบไปเที่ยวแบบชะโงกทัวร์ ชอบลุยเอง เพราะทุกๆขั้นตอนมันสนุกสนานท้าทาย และมีอิสระกว่ากันมาก ยิ่งได้ไปกับคนที่ถูกคอยิ่งเจ๋งสุดยอด เดือนที่แล้วเพื่อนรักมาเยี่ยมเลยดีใจดี๊ด๊าจะได้ขับรถไปเที่ยวกัน เพื่อนเชี่ยวฝั่งยุโรป ไปที่อื่นมาจนปรุแต่ยังไม่เคยมาอเมริกา ไม่ชินวิถีอมริกันชน เลยขอให้ช่วยจัดโปรแกรมให้ เอาแบบ “Westward Ho! in a Nutshell” ก็ได้ออกมาอย่างที่เห็น (17 Days, 3,500 Miles)ใช้ เวลาทั้งหมด 17 วัน ไปแบบสบายๆ ไม่เร่งร้อน ไม่ต้องชะโงกแล้วขึ้นรถ แถมมีไกด์บวกสารถีชั้นดีคอยยัดเยียด useless information ให้ตลอดเวลา อิอิ
เราเริ่มออกเดินทางกันต้นเดือนมิถุนายนพอดี ซึ่งปีนี้เป็นเวลาที่อากาศดีมากๆ หิมะและฝนหยุดตกแล้วและดอกไม้ป่าก็ยังมีให้เห็นอยู่มากพอสมควรทีเดียว (ข้อสังเกต หน้าหนาวที่แล้วฝนและหิมะตกเยอะที่สุดในรอบสี่ห้าปีที่ผ่านมา กว่าทางจะเปิดในพื้นที่หลายแห่งจึงล่ากว่าปกติ และอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมดอกไม้จังยังเยอะอยู่มาก) อากาศกำลังดี ไม่ร้อนไม่หนาว – นอกจากตรงที่ที่สุดโต่งอย่าง Death Valley และ แถบเทือกเขาเซียร่าเนวาด้า
ปีนี้ทุกอย่างดูจะแพงขึ้นไปมากเหลือเกิน ทั้งน้ำมันรถและค่าโรงแรม (อาจเป็นเพราะเริ่มเป็น High season แล้วกระมัง ปีที่แล้วไปแอลเอช่วงพฤษภาคม โรงแรมถูกว่านี้กว่าครึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าโรงแรมที่ถูกที่สุดที่เราเจอคือที่ลาสเวกัส) ตอนแรกคิดว่าจะเอาเต้นท์ติดไปด้วย ซึ่งจะทำให้ได้รสชาติวิถีชีวิตอเมริกันชนอย่างครบสูตรด้วย แต่ด้วยความที่โปรแกรมเราอัดแน่นเหลือเกินเลยเปลี่ยนใจ เอาติดไปแค่ถุงนอน ซึ่งได้ใช้ในคืนเกือบสุดท้าย นับว่าไม่เสียหลาย
ข้อดีอย่างหนึ่งของ การออกเดินทางด้วยรถจากบ้านเลยก็คือหอบของได้เยอะอย่างไม่ต้องบันยะบันยัง และเนื่องจากเส้นทางของเราหลากหลายตั้งแต่แสงสีจนถึงทะเลทรายทำให้ต้องวางแผนนิดหน่อย หลังจากกินเบอร์เกอร์และแซนด์วิชเยอะเหลือเกินในปีที่ แล้ว (เล่นเอาจนกลับมาจากทริปตัวพองเป็นปลาทอง) ปีนี้เลยขอขโมยไอเดียเพื่อนมาใช้มั่ง เค้าหอบหม้อหุงข้าวไปเที่ยวด้วยล่ะ !!! โอ พระเจ้า!!! ใช่แล้ว “หม้อหุงข้าว” – ใครจะคิด (ทุกคนอาจคิดกันหมดนอกจากเรา ฮ่าๆๆ) – อาจจะเหมือนโฆษณาที่สรพงษ์หอบชะลอมเข้ากรุงเทพฯ ไปซักหน่อย แต่ก็เป็นความคิดที่เยี่ยมยอดที่สุด นอกจากจะช่วยทุ่นค่าใช้จ่ายในการทานอาหารข้างนอกไปพอสมควรแล้ว การทานข้าวยังทำให้เกิดความสุขใจสบายท้องอีกต่างหาก นอกจากนี้อุปกรณ์ที่นำไปด้วยและใช้การได้ดีมากที่สุดมีดังนี้
- กาต้มน้ำเสียบปลั๊ก เอาไว้ต้มน้ำใส่บะหมี่ – เห็นคนไทยชอบใช้ขดลวดที่แช่ไปต้มในน้ำแต่รู้สึกกลัวไฟดูดและแถวนี้หายาก เกิ๊น เอาของที่มีอยู่ – ปีที่แล้วใช้หม้อต้มกาแฟของโรงแรมก็ใช้ได้ แต่สำคัญคือบางโรงแรมไม่มีให้ หรือใช้แบบเครื่องต้มสมัยใหม่ที่เอาซองกาแฟแบบ pod ใส่ไปแล้วทำกาแฟได้ทีละแก้ว แบบนี้น้ำไม่ร้อน เราก็อดกินบะหมี่ ดังนั้นกาต้มน้ำอันนิดเดียว แต่อเนกประสงค์ เราเอาของเราไปเองดีก่า
- กาแฟผงยี่ห้อโปรด ฟิลเตอร์กระดาษ และ coffee cone – คอกาแฟขาดไม่ได้ กาแฟโรงแรมเป็นกาแฟที่ฮ่วยแตกที่สุดในโลก – ใครชอบกาแฟสำเร็จรูปก็ตามใจ ไม่ว่ากัน
- เทอร์มอสสเตนเลส – อันที่มีอยู่เล็กกระทัดรัดและข้างในเป็นสเตนเลสด้วย เวิร์คที่สุด (เคยซื้ออันที่ข้างในเป็นแก้วๆ แบบสมัยเราเด็ก แต่ไม่เวิร์ค เก็บความร้อนเย็นไม่ได้ดีเท่าอันนี้) อันนี้เจ๋ง ใส่ช่องแก้วกาแฟหน้ารถได้พอดี ตอนเช้าก่อนออกเดินทางต้มใส่ไว้ (จุได้ประมาณสองเหยือกใหญ่ๆ ดื่มได้ทั้งวัน) ถ้าเป็นช่วงหน้าร้อน ใช้วิธีเอาน้ำแข็งใส่ไว้ (โรงแรมทุกโรงแรมมีที่ทำน้ำแข็ง หากไม่โดนพวกมีกระติกน้ำแข็งยักษ์และหน้าไม่อายโกยไปหมดเสียก่อน) เวลาอยากดื่มน้ำเย็น ก็เอาน้ำเย็นใส่ลงไปในเทอร์มอสนิดหน่อย ให้พอดื่ม น้ำแข็งก็จะอยู่ได้นาน
- ถุงเก็บความเย็น อันนี้เจ๋งที่สุด ใช้ได้ดีกว่าคูลเลอร์ที่เป็นถังพลาสติกแข็งๆ เพราะเบากว่ามาก ประหยัดพื้นที่ เสียนิดหน่อยตรงใส่น้ำแ็ข็งไม่ค่อยได้ น้ำแข็งละลายเร็วแล้วน้ำซึมออกมา แต่ใช้ blue ice มาแช่แข็งเอาใช้ได้ดีกว่า พอตกกลางคืนก็เอาแช่ช่องแข็งที่โรงแรม เช้าก็ใช้ได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาเทน้ำทิ้งด้วย
- เสบียง – ข้าวสาร บะหมี่สำเร็จรูป (อย่ามากนัก ทานหลายมื้อ หัวอาจล้านได้ ผงชูรสเยอะเกิ๊น) ปลากระป๋อง (อันนี้เวิร์คสุด) ค้นพบกันว่าเวลาเดินทาง อาหารเผ็ดทำให้ลิ้นเราหมดสภาพมากกกก - ซื้อปลากรอบร้านจีนไปทานกันคนละถุง ถึงกับต้องแจ้นไปหายาทาลิ้น เพราะเลือดโชกปาก) ของขบเคี้ยว ผลไม้ – ซื้อไปจากแถวบ้านดีตรงที่เรารู้ร้านที่ราคาเหมาะสม ถ้าไปเมืองใหญ่ๆ ตลอดก็ไม่มีปัญหา ไม่ต้องซื้อมาก แต่พอออกจากเมืองใหญ่ อะไรๆ ก็หายาก ปีที่แล้วถึงต้องกินอาหารบริการด่วนตลอด ไม่ไหวเหมือนกัน –พอเดินทางนานๆ การได้ทานข้าวบ้างทำให้อารมณ์ดี สมกับที่ว่ากองทัพเดินได้ด้วยท้องจริงๆ – ค้นพบว่าส่วนใหญ่เรามักต้องทำเวลาในการขับรถแล้วมักจะถึงที่พักค่ำมากๆ –โดยเฉพาะถ้าเป็นอุทยานแห่งชาติ เรื่องอาหารต้องแปลนก่อน – มีเสบียงไปด้วยทำให้สุขทั้งใจและท้อง ไม่หงุดหงิดคนที่ไปด้วย อิอิ
- น้ำดื่ม **– การเดินทางไกลไม่รู้จะเจออะไรข้างหน้าต้องเตรียมพร้อม โดยเฉพาะเมื่อเดินทางผ่านหรือเข้าสู่ทะเลทราย โดยเฉพาะน้ำและอาหาร สำคัญมาก -- เค้าแนะนำว่าให้มีน้ำอย่างน้อย 1 แกลลอน (ประมาณ 3.8 ลิตร) ต่อคนต่อวันติดไว้ตลอด (สภาพการระบายความร้อนของรถก็ต้องเช็คให้พร้อม)
- ชุดปฐมพยาบาล (First Aid Kit) และ ยาอื่นๆ – อย่าลืม ยาทาและยากินแก้แพ้ ยาทาแก้คัน ยาขม (เดินทางนานๆ ร้อนในแน่นอน) เมตามิวซิล (ที่ชอบยิ่งกว่าคือ Psyllium seed husks รสไม่หวานเหมือนเมตามิวซิล ลักษณะเหมือนกัน แต่ถูกกว่ามาก เพิ่มกากให้ลำไส้ทำงานสะดวกโดยไม่ต้องเพิ่มแคลอรี่ – หาซื้อได้ตามร้าน health food เช่น Whole Foods - ผสมน้ำผลไม้หรือน้ำเปล่าบีบมะนาวก็ได้ ดีมากๆ ขอแนะนำ)
- ยากันแดด (sunblock) – แบบที่กันได้ทั้ง UVA/UVB และกันน้ำ (waterproof & sweatproof ไม่เอา water resistent เพราะเกาะติดได้ไม่นานเท่า) ที่สำคัญถ้าเป็นแบบ paba free ยิ่งดี น้ำตาไม่ไหล -- ที่ใช้มายี่ห้อ Banana Boat ของเด็ก SPF 35-70 อันไหนก็ได้ที่ถูกกว่า ดีที่สุด เพราะเค้าทำไว้สำหรับผิวแพ้ง่ายและแพทย์ผิวหนังแนะนำ (hypoallergenic & dermatologist tested) ส่วนเรื่องค่า SPF นั้น เค้าว่าหลังจาก SPF 25 ไปแล้ว ตัวเลขอาจเป็นแค่เครื่องรางให้ความสุขใจ กันแดดได้เพิ่มขึ้นจริงหรือเปล่าไม่รู้ อีกยี่ห้อที่ดีคือ Nutrogena แต่เห็นเพื่อนว่าเมืองไทยหาซื้อยาก (** เพิ่มเติม ปี 2015 เดี๋ยวนี้ หากไปทะเลทราย Nutrogina ใช้ไม่ได้เหมือนกัน แสบหน้ามากๆ ร้อนถึงต้องไปหา ของเด็กทา) -- สาวๆ ที่ใช้ครีมกันแดดของยี่ห้อเครื่องสำอางค์ที่แพงหูฉี่ แบบซื้อรถได้ทั้งคัน กรุณาระวัง นอกจากได้ภาพลักษณ์ที่ไฮโซแล้ว ประสิทธิภาพการกันแดดสู้อาจสู้แบบร้านขายยาไม่ได้ มีคนเป็นฝ้ามาเยอะแล้ว แต่ยังดันทุรัง อิอิอิ สังเกตง่ายๆ พวกนักเล่นกระดานโต้คลื่นใช้ยี่ห้อไหน ใช้ตามเลย ^^
- แว่นกันแดด และหมวกปีกกว้างนิดหน่อย (แบบที่สะท้อนแสง uvได้ยิ่งดี - คนไม่ค่อยชอบใส่หมวก โปรดระวัง เพื่อนหน้าดำและลอกจนหมดความสุขไปเลย เผลอๆ เป็นฝ้าอีก อิอิ – หมวกแก้ปไม่ค่อยเวิร์ค เพราะกันแสงตรงแก้มไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะเมื่อใส่กลับหลังแบบเอาแก้ปไปไว้ข้างหลัง นอกจากได้ความเท่ห์เท่านั้น ก็เลือกเอา ของอย่างนี้ลางเนื้อชอบลางยา อิอิ) หมวกปีกกว้างไปก็ไม่ดี ลมแรงมากเป็นภาระ
- ไฟฉายแบบคาดหัว (เริ่ดสุด)
- Swiss army knife (ชอบส่วนตัวและสารพัดประโยชน์ อิอิ)
- ช้อนส้อมมีด ที่เปิดไวน์ (หากไม่มีอยู่ในมีดพับ) ที่เปิดกระป๋อง (ดีกว่าใช้ของพลาสติกมากกก ใช้แล้วมีความสุข ทั้งยังช่วยลดขยะและภาวะโลกร้อน)
- ทัปเปอร์แวร์ สองสามกล่อง (คราวนี้เอาไปกล่องเดียวไม่พอ)
- จานชามกระดาษ พลาสติก หรือ corning ware ตามใจ – อย่างหลังสุดก็ดี ไม่มีขยะ
- ผ้าปูโต๊ะ ผ้าห่มปูพื้น ไว้เวลาปิคนิค (คราวนี้ไม่ได้เอาไป ยอมสละถุงนอน เพราะอยากปิคนิค)
- ผ้าเช็ดปาก ผ้าเช็ดจาน Paper Towel
- น้ำยาล้างจานและแปรงล้างจาน (ดูเหมือนไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่เอาไปแล้วเวิร์ค!!)
- ชุดอาบน้ำ (ลืมเรื่อย - เอาไปเหอะ แม้ว่าพอถึงโรงแรมแล้วจะลิ้นห้อยสุดขีด แต่บางทีเห็นสระก็น่าว่าย หรือไม่ก็ลงไปจาคุซซี่ - ชุดวันเกิดไม่น่าเวิร์ค ฮ่าๆๆ)
- ชุดสวย / หล่อ หนึ่งชุด เผื่อไปดินเนอร์หรูๆ (ลืมอีก อดไปนั่งดริ้งค์ชมน้ำพุเบลลาจิโอที่ร้านอาหารบนหอไอเฟิลที่ ลาสเวกัสเลย ต้องไปเบียดๆ ดมเต่าคนแถวนั้นดูเอา ชิ)
- เสื้อผ้าเตรียมทั้งสำหรับอากาศร้อน ฝน หนาว - อากาศแปรปรวนง่ายมาก ** สิ่งที่เวิร์คที่สุดคือเสื้อผ้าฝ้ายบางๆ แขนยาวสำหรับทะเลทราย ค้นพบว่าอากาศร้อนแบบแห้งพิศดารแบบนั้น โดยเฉพาะที่ Death Valley ต้องปกปิดผิวทุกส่วนไว้แล้วจะเย็นดี (นี่คือประสบการณ์จริงส่วนตัว ที่ใส่ขาสั้นและแขนสั้น จนเกือบกลายเป็นหมูอบ) ผิดกับอากาศร้อนชื้นที่ยิ่งใส่น้อยชิ้นเท่าไหร่ดีเท่านั้น เพื่อนที่ไปด้วยบอกว่าทะเลทรายซะฮาร่ายังร้อนไม่เท่านั้น -- Death Valley ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ร้อนที่สุดในโลกในช่วงเดือน มิถุนายน - สิงหาคม
- รองเท้าอย่างน้อยสามคู่ – รองเท้าฟองน้ำ รองเท้าเดินเขา รองเท้าสวย
- กล้องถ่ายรูป และอุปกรณ์ (อันนี้คงไม่ต้องลงรายละเอียด เพราะทุกคนคงแพ็คเป็นอย่างแรกอยู่แล้ว)
- คอมพิวเตอร์ขนาดพกพาและโทรศัพท์มือถือที่มีสัญญาณ -- ไม่ได้ค่าโฆษณา แต่ของค่าย Verizon สัญญาณแรงสุด
- ** เพิ่มเติม ปี 2015 - เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีก้าวไกล คิดว่าจะหาซื้อ เข็มทิศแบบที่มี GPS ด้วยคงจะดีไม่น้อย
- เพื่อนร่วมทางที่คอเดียวกัน (อันนี้ขาดไม่ได้)
- 25. *** ข้อเสริม*** เพื่อนร่วมทางฝากด้วยว่า ให้พก "ความอดทน" มาเยอะๆ ไว้รับมือกับทริปสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกอย่างนี้ด้วยค่ะ ยิ่งมีมากก็จะได้เที่ยวมาก :) เอาละ เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เตรียมล้อเคลื่อนกันเลย … โปรดติดตามตอนต่อไป…Road Diary 2 - California Dreamin' (แคลิฟอร์เนียดรีมมิ่ง)
No comments:
Post a Comment