Choose Language

Road Diary 6: Adventure @698th curve ลุ้นระทึกที่ 698 โค้ง



Day 14 (cont’d): We left Lone Pine about 1:30 p.m. thinking that a five-and-half hour drive, even with bathroom breaks, should get to Sequoia National Park before dark. Also, we already booked a place to stay, so we are all set. Oh! Well, there’s a catch, and we were about to experience, firsthand, how the pioneers got in trouble.

You see, I picked a place to stay from a guidebook, and from the description, this place sounded really cool. It’s located 21 miles from Hwy 198 on Mineral King Road. Although, the book did say “winding road”, but we didn’t expect it to be THAT WINDING!!!. Boy, I’m telling you, those complex-looking creases in Google map’s terrain view were about to have a totally brand new meaning to us to the point of an “EPIPHANY”.

On the way, we had to stop and replenish our food supply in Bakersfield and ran into a bit of the evening commute and by the time we reached the junction of Hwy 198 and Mineral King, it was about 8 or 8:30 p.m. It was not dark yet but the directional sign to our destination, “Silver City Resort”, did catch our eye. The sign said 21 miles but allow 1.5 hours drive. Wait a minute. That can’t be true. Oh! Yeah, it was true. (There are 698 curves on the 25-mile road from Three Rivers to Mineral King).



The Mineral King Road was arguably one the most winding roads I have ever driven. It’s a narrow two-way road, hugging the slope of the mountain on one side and a nasty looking precipice on the other.

After 5 minutes on the road, my friend said,

“Let’s turn around. Let just cancel the reservation, and look for another place to stay.”

Well, we know how hard it is to find a place to stay inside any national parks, so I wasn’t about to give up without a fight.

My thought was, “We have come this far and we will make it.”

I told my friend not to worry and to hang on while I continued to tackle those hairpin turns like an agile slalom skier. My friend kept unusually quiet but alert, trying to hide his white-knuckle grip on the seat from me.

By the time we reached the 21 mile mark, we started to see lodging area and it got dark a while ago. Finally, we reached Silver City Resort. Hooray! We made it in one piece… We didn’t see how the compound looked but was very intent on checking in. It had been a very long day.

We got to stay at one of their historic pioneer cabins called Forest Glen. The accommodation might not be worth $100 (plus $25 for sheets which we forgot to bring) for some people but for us it did live up to its promise for “ultimate authentic High Sierra lodging experience”. As my friend revealed the next day, this gave him the first true experience of ecotourism’s mystique – since we embarked on our trip.

For us, this turned out to be the most memorable bits of our trip, as all brushes with danger (after which you live to tell ;)) are.

Looking back, this must be a glimpse of how the pioneers felt when some of them came face to face with unexpected stumbling block on their trip. Of course, ours was a piece of cake in comparison – but we will always remember that most “tense 21 miles drive” vividly well into the future.

I’m happy to report that others also had the same bittersweet experience on this “beastly” road. Read here



วัน ที่ 14 (ต่อ): เราใช้เวลา 6 ชั่วโมงเศษกว่าจะมาถึง อุทยานแห่งชาติซีโคยย่า (Sequoia National Park) เพราะไปแวะซื้อเสบียงและรถติดตอนคนเลิกงานนิดหน่อย ก็คิดว่าไม่มีปัญหา พอเห็นป้ายทางไปอุทยานฯ ก็คิดว่าเราทำเวลาดีมาก

ที่ไหนได้ พอมาถึงปากทางเข้าที่พักที่จองไว้ ปรากฏว่าต้องขับรถเข้าไปอีก 21 ไมล์ (34 ก.ม -- เพิ่งมารู้ทีหลังว่าถ้านับรวมกับอีกสี่ไมล์จากทางแยกที่ Three Rivers ก็ 25 ไมล์ / 40 กิโลฯ 698 โค้ง) มีป้ายบอกว่าต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เราก็งงว่าเอ๊ ไหงมันนานจัง พอขับเข้าไปซักหน่อยก็ถึงบางอ้อ (ส่วนมากเวลาใช้แผนที่ของกู้เกิ้ลไม่ค่อยได้เปิดโหมด Terrain ดู ใช้แต่ map ธรรมดาดูแต่ระยะทาง ก็เลยไม่เห็นว่าเส้นทางมันหยุกหยิกและสูงชันขนาดไหน พอมาดูทีหลัง เลยเพิ่งฉลาด ฮ่าๆๆๆ)



เรื่องที่พักนี่ตอนจองก็ลองอ่านๆ เอาจากหนังสือนำเที่ยว เห็นน่าสนใจก็เลือก ไม่ิิคิดว่าจะ "น่าสนใจ ปนระทึกขวัญ" ปานนี้

ถนน เลียบเชิงเขาแคบมาก แต่รถดันวิ่งสวนกันได้ เราต้องขับซิกแซกชิดด้านขวาซึ่งเป็นหน้าผาสูงชันไปตลอดทาง คงไม่เป็นไรถ้าเราไม่ต้องทำเวลา แต่พอเรามาถึงนั่นก็ปาเข้าไปสองทุ่ม สองทุ่มกว่าแล้ว อีกไม่นานก็มืด ซึ่งคงไม่สนุกแน่ๆ

เพื่อนหันมาบอก ว่า “เรายกเลิกที่จองเหอะ ไปหาที่อื่นพักเอา” เราไม่เคยมาที่นี่เลยไม่รู้ว่าตรงไหนจะดี แม้ว่าเราจะผ่านที่พักบนถนนใหญ่ (เส้น 198) มาหลายแห่ง แต่ก็ไม่มีทางรับประักันได้ว่าจะไม่เต็ม (ซึ่งมีทางเป็นไปได้สูง) คิดว่า “เอาน่ะ ไหนๆ ก็มาจนถึงนี่แล้ว อีกนิดเดียว” ว่าพลางก็ขับสลาลมเข้าโค้งไปเรื่อยๆ เพื่อนเงียบกริบ แต่เรารู้ได้ถึงความเกร็งอย่างแรง

เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า ใจเราก็คอยนับจำนวนไมล์ไปในใจ นานเหลือเกินแล้ว แต่เมื่อไหร่ๆ ก็ยังเหลืออีก 7 ไมล์อยู่นั่นแหละ และแล้วไมล์ที่ 19…20…21 ก็มาถึง เราใจชื้นเมื่อเริ่มเห็นแสงไฟที่ดูเหมือนจะมาจากบ้านพักอยู่ไกลๆ



ปรากฏ ว่าบ้านพักที่เราจองเป็นบังกะโลประวัติศาสตร์ ที่พวกนักบุกเบิกอยู่ สร้างขึ้นประมาณปี 1930 (พ.ศ. ๒๔๗๓) แล้วก็ได้รับการบูรณะเรื่อยมา หลังที่เราอยู่ชื่อ Forest Glen เป็นบังกะโลหนึ่งห้องนอน นอนได้สามคน มีสองเตียง เตียงใหญ่ขนาดควีนหนึ่ง เตียงเล็กหนึ่ง มีห้องครัวที่มีเตาแบบสมัยโบราณและเครื่องครัวให้ ไฟฟ้าไม่มี ใช้จุดตะเกียงโพรเพนแก้สเอา ห้องน้ำ ก็อยู่แยกไปต่างหาก … เนื่องจากเรามาถึงดึก ก็มองไม่เห็นอะไรมาก แต่กลิ่นสนหอม อากาศเริ่มเย็นๆ

เรา ไม่ได้อ่านอีเมลล์ที่เค้าส่งมาคอนเฟิมเรื่องที่พักและข้อควรปฏิบัติ เราก็เลยต้องเช่าผ้าปูที่นอนและปลอกหมอน เสียไป 25 เหรียญ (บวกค่าบังกะโลอีก 100 เหรียญ) โชคดีเราเอาถุงนอนแบบดักแด้มาถุงนึง เลยยกผ้าห่มของตัวเองให้เพื่อนไป ซึ่งเหมาะเจาะมาก เพราะพอตกดึกหนาวพอใช้ได้ทีเดียว


หลังจากผ่านการผจญภัยลุ้นระทึกกัน มาเมื่อคืนก่อน เช้าวันรุ่งขึ้นเราถึงได้มีโอกาสตื่นเต้นกับที่พัก แต่น่าเสียดายที่เราจะเป็นต้องออกแต่เช้า เพื่อไปดูต้นซีโคยย่ายักษ์ ต้นไม้ที่ยังมีชีวิตอยู่และเป็นต้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากเพิ่งมาค้นพบว่า ที่ที่จะไปอยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขา และต้องใช้เวลาขับรถกลับไปทางเดิม …เราขออนุญาตเพื่อนว่าขอใช้เวลาบนถนนนี้หน่อยนะ เพราะเมื่อเย็นวานที่ผ่านมา มีดอกไม้สองข้างทางสวยสุดๆ และิคิดว่าอยากถ่ายรูปเหลือเกิน เพื่อนใจดี ยอม อิอิ

ว่าที่จริงแล้วก็โชคดีที่ไม่ได้อ่านรายละเอียดของที่นี่มาก่อน ทำให้การผจญภัยครั้งนี้เป็นประสบการณ์หนึ่งที่ประทับใจที่สุดจริงๆ (ประทับใจยิ่งกว่าตัวอุทยานฯเองซะอีก 555)


No comments:

Post a Comment