Day 12, we said good-bye to Monument Valley with a mixed feeling. Though it’s been a great fun, the heat and the toll of traveling began to bear down on us. We found ourselves taking shelter in eateries longer and longer while the spring in our steps seemed fewer and far between. I could tell that my friend really wanted to go home but still endured… Alas, at this stage of the trip, all rocks started to look the same to him.
วันที่ 12 ของการเดินทาง แม้จะตื่นตาตื่นใจกับ Monument Valley ที่สุด เราก็ต้องจากไปซะแล้ว หลังจากทานอาหารเที่ยงในห้องปรับอากาศเย็นฉ่ำเสร็จสรรพ เราก็พร้อมจะฝ่าความร้อนมุ่งหน้ากลับไปลาสเวกัส ที่เราจะยึดเป็นที่นอนในคืนนั้น เราจองโมเต็ลกันแถวถนนฟรีม้อนท์ (Fremont Street) แถบเมืองเก่าเพราะอยากจะไปถ่ายรูปกีต้าร์ยักษ์หน้า Hard Rock Café เป็นไฮไลท์ ปรากฏว่าพอเอาเข้าจริงๆ ระยะทาง 400 ไมล์ (ุ645 ก.ม.) ในความร้อนนี่มันก็เอาการอยู่ ประกอบกับที่เรามัวแต่คุย เลยได้ขับเข้าไปใน scenic route 89 (แทนที่จะย้อนกลับมา UT-9W) มารู้ตัวอีกทีถึงปากทางอุทยานฯ Zion
อ้าว! งง โชคดีที่ Zion มีเจ้าหน้าที่ประจำทางเข้า เราบอกว่า อิชั้นจะไป Death Valley น่ะค่ะ ไหงหลงมานี่ได้ เจ้าหน้าที่บอกบ่เป็นหยังดอก ยูไม่แย่เท่าไหร่ ผ่านทางนี้ได้ แต่ต้องเสียค่าผ่านประตู 25 เหรียญเท่านั้นเอง เราก็บอกไม่เป็นไร ตั้งใจจะไปหลายอุทยานฯอยู่แล้ว ซื้อ Annual Pass (80 เหรียญ) ไปเลยก็แล้วกัน … จ่ายตังค์เสร็จรีบถามว่าทางเข้าอุโมงค์ที่ก่อสร้างปีที่แล้วน่ะ เสร็จรึยัง (ปีที่แล้วมาตอนค่ำ น่ากลัวมากกกกก) เจ้าหน้าที่หนุ่มน้อย บอกโอ้ยยย เสร็จแล้ว ปีนี้สวยแล้วนะ เฮ้อ ค่อยโล่งอกหน่อย เส้นทางที่ Zion สวยงามมาก ถนนเป็นของเราเลย แทบจะไม่มีรถเลยเพราะเป็นวันจันทร์ อากาศก็ดีมาก เสียดายต้องรีบทำเวลาขับผ่านๆ ไป แต่ในระหว่างทางที่หลง มันเป็นช่วงเวลาที่วิเศษที่สุด เพราะเราสองคนได้คุยกันอย่างจับใจสุดๆ
Absentmindedly, we drove through the scenic route 89 of Utah and had a great time chatting. The next thing we knew, we were at the entrance of Zion National Park (of course totally unplanned :P). However, that was quite a blessing in disguise as we got to see the wonderful road that’s now complete (Last year, I was stuck there for a long while due to construction – which if you plan a road trip in late Spring – Summer is to be expected – a lot!!).
ประมาณ เกือบแปดชั่วโมงให้หลัง เรามาถึงลาสเวกัสด้วยความสะบักสะบอมนิดหน่อย โชคดีที่มืดช้าเลยไม่แย่เท่าไหร่ โมเต็ลที่จองไว้ (Super 8 ที่พอไปถึงแล้วไม่ได้ชื่อนี้ 555) ผิดคาดพอสมควร เราอยู่บล้อคเดียวจากถนนฟรีม้อนท์ ไม่ไกลจาก Paradise Road เท่าไหร่ แต่ดูย่านมันโทรมๆ แถมอาแปะเจ้าของโรงแรมแกบอก เอ่อ เครื่องทำกุญแจมันเสียน่ะ ยูจะเข้าจะออกเดี๋ยวชั้นเปิดประตูให้ละกันนะ เอ้อ มีงี้ด้วย แต่เอาน่ะ หมดแรงแล้ว ตกลงความคิดที่ไปเดินแล้วต้องมาเรียกอาแปะเปิดประตูเป็นความไม่สะดวกอย่าง ยิ่ง แถมอากาศก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย สรุป เข้านอน ตกลงอดถ่ายรูป!
(เพิ่มเติมปี 2015 ได้ไปเสียที Fremont Street Experience ได้เห็น ลาสเวกัสแบบเดิมๆ แต่ข้อเสียคือการดูดควันคงไม่ดีเท่าไหร่ แสบตา น้ำตาไหลตลอดเวลา จนต้องนั่งรอเพื่อนอยู่ข้างนอก โชคดีมีร้านสตาร์บัคส์ ที่เป็นปลอดควันบุหรี่ แหม ไม่งั้นตายแน่ๆ!!!
Finally made it to Fremont Street in 2015 |
It was a long drive heading back to Las Vegas where we stayed overnight hoping for an easy drive to Death Valley the next day. We booked a motel in Fremont Street area hoping to explore the old part of Las Vegas. Well, it was THAT -old and seedy and it didn’t feel safe to walk around (it might just be me), so the heat and exhaustion gave a good excuse for going straight to bed. (Update 2015 - I finally got to go to the Fremont Street Experience (see photo above)-- I guess the old Las Vegas was very smoky ;) and all I could do was sitting in the smoke-free zone of Starbucks !!! Thank goodness for that !!!).
วันที่ 13 เรายุรยาตรากันตอนสายๆ ประสบการณ์สอนว่าเวลาไปไหนที่แปลกถิ่นให้เผื่อเวลาเยอะๆ หน่อย ซึ่งเป็นเทคนิคที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจุดหมายข้างหน้าของเราคือ “หุบเขามรณะ” (Death Valley) เราใช้เส้นทาง 95 ผ่านเมือง Beatty เพื่อเข้าอุทยานที่ทางเข้าด้านตะวันออกระยะทางจากลาสเวกัสไปถึง Beatty 118 ไมล์ (189 ก.ม.) ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง แล้วจากนั้นเข้าไปในอุทยานถึง ที่ทำการอุทยานฯที่ Furnace Creek อีก 44 ไมล์ (70 ก.ม.) ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ
เรามุ่งหน้าไปที่ที่ทำการอุทยานฯที่ Furnace Creek แต่ว่าปิดทำการ ไม่แน่ใจว่าโรงแรมเปิดหรือเปล่า เจ้าหน้าที่อุทยานฯก็ไม่เห็นเลย โชคดีที่เรามีหนังสือนำเที่ยวที่มีแผนที่ละเอียดไปด้วย ก็เลยไปด้วยตัวเองได้
Day 13, we left Las Vegas around 10 a.m. and just followed Route 95 to Beatty toward Death Valley’s east entrance. It was searing hot even in the middle of June, so we were darting through the points of interest as fast as we can.
ถนนในหุบเขามรณะ มีสามเส้นใหญ่ๆ กับเส้นเล็กๆ ที่แยกไป Badwater Basin. For Details, visit http://www.nationalparked.com/US/Death_Valley/Roads/ |
ขณะ ที่เรามุ่งหน้าเพื่อไปชมสถานที่ท่องเที่ยวตามเส้นทางมหาชนที่ง่ายที่สุด เริ่มจาก Zabriskie Point เรื่อยไป อุณภูมิภายนอกรถเริ่มไต่ขึ้นสูงเรื่อยๆ ขนาดตรง Furnace Creek ที่อยู่ที่ระดับน้ำทะเล ความร้อนก็เริ่มเฉียด 40 องศาซีเข้าไปทุกที เรานึกดีใจที่เครื่องปรับอากาศในรถเราทำงานได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ทางเดินจากที่จอดรถขึ้น Zabriskie Point |
ด้วยความร้อนระอุเหลือจะทนทาน บวกกับความผิดพลาดในการแต่งกาย (ใส่ขาสั้น เสื้อแขนสั้นเพราะที่เวกัสอ้าวมาก) การชมสถานที่ต่างๆ ที่นี่จึงผันตัวไปเป็นชะโงกทัวร์โดยเกือบจะสมบูรณ์ โดยเฉพาะหลังจากคิดผิดเดินเข้าไปหาแอ่งเกลือรูปหกเหลี่ยมที่ Bad Waters Basin ในเวลาบ่ายสามโมงเย็น ณ อุณหภูมิ 43 องศาเซลเซียส (109 องศาฟาเรนไฮท์) และตระหนักว่า คำว่า “กะทะทองแดง” คงไม่หนีไปจากนี้เท่าไหร่
หลังจาก Bad Water Basins เราตัดสินใจหนีความร้อนขึ้นไปชมวิวที่ยอดเขา Dante’s View ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกมาก เพราะเพียงไม่นานนักขณะเราไต่ความสูงขึ้นไปหลายพันฟุต อุณหภูมิก็เย็นลงเกือบสิบองศาทีเดียว พอขึ้นมาที่สูง ก็เริ่มเห็นดอกไม้ใบหญ้าสวยงามให้ชื่นใจขึ้นบ้าง พอจะมีกำลังใจกลับลงไปที่แอ่งกะทะใหม่
Upon visiting Bad Water Basin (282 feet below sea level), I thought I had a brief glimpse of either hell or Mars. I’ve never been anywhere like that where heat is so intense and radiating from every direction. It was 109 degrees Fahrenheit in my car.
As we climbed to higher elevation towards Dante’s View, the temperature let up quite drastically, and we got to keep our sanity.
ต่อจากนั้น เราขับกลับลงไปทาง Artist’s Drive ผ่าน Artist Palette ถึงแม้จะเป็นเวลาเย็นแล้วแต่อากาศก็ยังร้อนฉ่าต่อไป พอไปถึงก็กระโดดลงปุ ถ่ายสองสามรูปแล้วรีบไปต่อ แบบให้เสร็จๆ ไป ถ้าอากาศเย็นๆ แสงต่ำๆ คงจะขับให้เนินดินหลากสีเหล่านี้สีฉ่ำขึ้นมากกว่านี้มาก
We zipped through Artist’s Drive and headed towards Mesquite Sand Dunes as our final destination of the day before checking in to Stovepipes Well Village. It was a full-moon night and there was a bit of wind at twilight. Yet,that was about it. Temperature maintained in the high 90s all night.
ที่หมายสุดท้ายของวันนี้คือ Mesquite Sand Dunes ที่เราไปถึงได้เวลาแสงงามพอดี แต่ไม่ได้ใช้เวลากับการถ่ายมากนัก (เพราะตับเริ่มละลายแล้ว อิอิ) หมายมั่นว่าจะกลับมาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
พักค้างคืนที่ Stovepipe Wells Village ที่อยู่ในตัวอุทยานฯ ไม่ไกลจาก Mesquite Sand Dunes มากนัก หวังกันว่าพอตกค่ำอากาศน่าจะเย็นลง แต่ปรากฏว่าเปล่าเลย เราเข้านอนกันท่ามกลางเสียงดังสนั่นของเครื่องแอร์ที่ทำงานอย่างหนัก (น่าสงสารทั้งธรรมชาติและตัวเอง – พูดถึงธรรมชาติ ที่นี่มีวิธีทำให้คนที่ชอบอาบน้ำนานๆ สำนึกผิดโดยการติดนาฬิกาทรายไว้ใกล้ๆ ฝักบัว จำไม่ได้ว่ากี่นาที น่าจะประมาณห้า เค้าบอกว่าน้ำที่เราอาบในเวลาเท่ากับนาฬิกาทรายนี่สามารถให้ครอบครัวคนพื้น เมืองหนึ่งครอบครัวดื่มกินไปได้หนึ่งปีแน่ะ – อ่านแล้วเลยรีบๆ วิ่งผ่านน้ำ ทำเวลาสุดฤทธิ์)
วัน ที่ 14: เช้าวันรุ่งขึ้น รีบตื่นแต่เช้า (ตีห้ากว่าคิดว่าเช้าแล้ว แต่ปรากฏว่าตะวันโด่งแล้ว เฮ้อ) ไปถ่ายรูปที่สันทรายอีก ถ่ายได้ไม่กี่รูปก็ต้องพ่าย หกโมงกว่า อุณหภูมิ 35 องศาซะแล้ว เลยขอลาดีกว่า
เราเช็คเอ้าท์จากโรงแรมแล้วมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตกกลับแคลิฟอร์เนียที่เราจะแวะ ไปดูยอดเขาวิทนี่ย์ (Mount Whitney) ยอดเขาที่สูงที่สุดใน 48 รัฐของอเมริกา ก่อนจะเดินทางต่อไป Sequoia National Park
ระหว่างทางมีดอกไม้ให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สร้างความสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
Day 14: The next morning, I made a quick trip to photograph the sand dunes but was too late for daybreak – oh! Well. We left this wonderfully unique place at about 9 a.m. which already felt like noon, and headed towards Lone Pine, to get a glimpse of Mt. Whitney. We had a picnic near Alabama Hills enjoying the breathtaking view. The change of temperature and the sight of greenery notably lifted our mood.
เราแวะปิคนิคกันที่ Lone Pine เมืองเล็กๆ ที่เชิงเขาเซียร่าเนวาด้าด้านตะวันออก (Eastern Sierra) เป็นเมืองปากทางสำหรับคนที่จะมาปีนยอดเขาวิทนี่ย์ หรือเดินป่าตามเส้นทางของ จอห์น มิวร์ (John Muir Trail) นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็นสถานที่ถ่ายทำหนังฮอลลีวู้ดและหนังโฆษณามากมายนับไม่ถ้วน และทุกๆปี ต้นเดือนตุลาคม จะมีเทศกาลหนังคาวบอย Lone Pine Film Festival ที่ถือว่าดังมากพอสมควรด้วย
เราสามารถไปขอแผนที่ของ Movie Road ที่สำนักงานอุทยานแห่งชาติ ที่อยู่ก่อนถึงตัวเมือง ถ้าอยากจะขับไปดูสถานที่ที่อยู่ในฉากหนังต่างๆ และที่ตรงนี้สามารถเห็นยอดเขาวิทนี่ย์ได้อย่างชัดเจน โดยมีเนินเขาอลาบาม่า (Alabama Hill) เป็นฉากหน้า
หลังจากผจญกับความร้อนระอุมาหลายวัน การได้นั่งสบายๆใต้ร่มไม้ มีลมพัดเื่ย็นพัดเืื่อื่อยๆ ข้างลำธารเล็กๆ ท่ามกลางเสียงน้ำไหล มองขุนเขาตรงหน้า นี่มันช่างเป็นความสุขจริงๆ
เราทานอาหารกันอย่าง ไม่รีบร้อนเพราะเท่าที่ดูจากแผนที่ น่าจะไม่เกินห้าชั่วโมงก็ถึงอุทยานแห่งชาิติซีโคยย่า (Sequoia / King’s Canyon National Park)… แต่หารู้ไม่ว่าคิดผิดอย่างแรง และตรงจุดนี้แหละ ที่การผจญภัยอย่างแท้จริงของเราเริ่มขึ้น… โปรดติดตาม
We took our time at Lone Pine because it had been a long time since I last visited Eastern Sierra and I do enjoy always – for here was the first time that I ever smelled sagebrush fragrance of the high desert and fell in love with it. Judging from the map, the distance to Sequoia National Park (which we had to go all the way back down south and back up to the other side of the Sierra) didn’t seem that far and I thought we would make it before dark for sure. Boy, am I wrong! And the real adventure awaits… Stay tuned.
No comments:
Post a Comment